ไร้พ่ายแตก! 5 ประเด็นเดือดหลังวัตฟอร์ดทำช็อกโค่นจ่าฝูงลิเวอร์พูล

UFA266 NEWS : ไร้พ่ายแตก! 5 ประเด็นเดือดหลังวัตฟอร์ดทำช็อกโค่นจ่าฝูงลิเวอร์พูล
ก่อนแมตช์นี้จะเริ่มคงไม่มีใครคาดคิดว่า “หงส์แดง” จะพลาดท่าพ่ายเป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ทว่ามันก็เกิดขึ้นแล้ว… คงต้องชมฝั่งเจ้าบ้าน วัตฟอร์ด ที่เกมนี้วางแผนมาอย่างดีและช่วยกันเล่นไม่ว่าจะเป็นแนวรับหรือแนวรุกต่างก็ท็อปฟอร์มด้วยกันหมด ผิดกับฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ถือเป็นวันที่ย่ำแย่ของจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอย่างสิ้นเชิง เรารวบรวมประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นมาให้อ่านเกม
1.แผงหลังหงส์พลาดหมด
.jpg)
นอกจากนี้แบ็กทั้งสองข้างของลิเวอร์พูลยังหลุดฟอร์มด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ออกอาการตั้งแต่ต้นเกมเพราะโดน เคราร์ด เดโลเฟว ปั่นป่วนหลายครั้ง รวมถึงยังเป็นคนส่งบอลคืนหลังพลาดจนเสียประตูอีก ขณะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แม้จะมีดีเรื่องการเติมเกมรุกทว่าเกมรับเขาก็เข้าบอลพลาดจนเป็นที่มาของการเสียประตูที่สอง สรุปแล้วเกมนี้ถือเป็นเกมที่แย่สำหรับแนวรับหงส์แดงอย่างแท้จริง
2.ซาร์ซัดหาย!
แม้ วัตฟอร์ด จะเจอข่าวร้ายตั้งแต่ครึ่งแรกเพราะเสียแนวรุกตัวสำคัญอย่าง เคราร์ด เดโลเฟว ที่ได้รับบาดเจ็บที่บาดเจ็บจากการกระแทกกับ ฟาน ไดค์ ทว่า อิสไมล่า ซาร์ กลายมาเป็นพระเอกด้วยการเหมาสองประตู ต้องบอกว่าเป็นเกมที่เจ้าตัวขยับหาพื้นที่ได้ค่อนข้างดีตั้งแต่ประตูแรกที่เข้าฮอส และประตูที่สองที่ยืนอยู่ระหว่างสองเซนเตอร์แบ็กของหงส์แดง รวมถึงต้องชมการจบสกอร์ที่ชิพเหนือชั้นผ่าน อลิสซง เข้าประตู
สำหรับสถิติหลังเกมของเขานั้น สัมผัสบอล 45 ครั้ง แย่งบอล 8 ครั้ง โอกาสยิง 6 ครั้ง เลี้ยงผ่านคู่แข่ง 2 ครั้ง ยิง 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ ไม่แปลกใจที่จะคว้า แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้
3.สามประสานงานกร่อย
.jpg)
ด้าน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีเปอร์เซนต์การผ่านบอลแม่นยำแค่ 58% เท่านั้น ขณะที่ ฟีร์มีโน่ ก็ไม่ต่างกันนอกจากทำบอลเสียบ่อยครั้งแล้วยังไม่มีโอกาสยิงประตูเลย ส่วน มาเน่ นั้นแม้จะมีเปอร์เซนต์จ่ายบอลแม่นยำที่สุดในสามคนแต่เขาครอสบอลตลอดเกมครั้งเดียวและไม่มีโอกาสยิงประตูเลย นับเป็นวันที่สามประสานหมดสภาพอย่างแท้จริง
4.สถานกาณ์ลุ้นแชมป์-ตกชั้น
.jpg)
ด้าน “หงส์แดง” นั้นความพ่ายแพ้เหมือนเป็นการยืดเวลาฉลองแชมป์ออกไปเท่านั้น จากเดิมที่หากคว้าชัยชนะเกมนี้ได้จะทำให้เหลือการคว้าชัยอีกเพียงแค่ 3 นัดเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังต้องการชนะอีก 4 นัดเช่นเดิม แต่ประเด็นคือทีม “เร้ด แมชชีน” คงต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจมาให้เร็วที่สุดเพราะนับตั้งแต่เบรกหนีหนาวมาพวกเขาหลุดฟอร์มมาหลายเกมแล้ว มาดูกันว่ากับ เชลซี ในเอฟเอ คัพ กลางสัปดาห์จะเรียกความมั่นใจได้หรือไม่
5.หยุดสถิติไร้พ่าย
.jpg)
สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
![]() |
||||
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | The Reds หงส์แดง (ฉายาในประเทศไทย) |
|||
ก่อตั้ง | 3 มิถุนายน ค.ศ. 1892[1] | |||
สนาม | แอนฟีลด์ | |||
ความจุ | 53,394[2] | |||
เจ้าของ | เฟนเวย์ สปอร์ต กรุป | |||
ประธาน | ทอม วอร์เนอร์ | |||
ผู้จัดการ | เยือร์เกิน คล็อพ | |||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | |||
2018–19 | พรีเมียร์ลีก, อันดับที่ 2 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
|
||||
สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษ: Liverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพตั้งอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล, อังกฤษ แข่งขันอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของอังกฤษ โดยลิเวอร์พูลชนะเลิศ ยูโรเปียนคัพ 6 ครั้ง, ยูฟ่าคัพ 3 ครั้ง, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 4 ครั้ง, ลีกสูงสุด 18 ครั้ง, เอฟเอคัพ 7 ครั้ง, ลีกคัพ 8 ครั้ง, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 15 ครั้ง และ ฟุตบอลลีกซูเปอร์คัพ 1 ครั้ง
ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1892 และได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกในปีต่อมา ลิเวอร์พูลใช้สนามแอนฟีลด์ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึง 1980 เมื่อ บิลล์ แชงคลี, บ๊อบ เพสลีย์, โจ เฟแกน และ เคนนี แดลกลีช พาทีมคว้าแชมป์ลีก 11 ครั้ง และคว้าถ้วยรางวัลยูโรเปียน 4 ใบ ต่อมา ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ และกัปตัน สตีเวน เจอร์ราร์ด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนลีกสมัยที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 2005 และสมัยที่ 6 ภายใต้การคุมทีมของ เยือร์เกิน คล็อพ เมื่อปี ค.ศ. 2019
ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลกอันดับที่ 9 เมื่อปี 2016–17 ด้วยรายได้ประจำปี 424.2 ล้านยูโร[3] และสโมสรฟุตบอลที่มูลค่ามากที่สุดในโลกอันดับที่ 8 เมื่อปี 2018 ด้วยมูลค่า 1.944 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[4] เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในโลก[5] ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรคู่แข่งกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน
สโมสรได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมที่สำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่โศกนาฏกรรมเฮย์เซลเมื่อปี ค.ศ. 1985 แฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นแฟนบอลยูเวนตุสชาวอิตาลี 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน และส่งผลให้ลิเวอร์พูลถูกสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปแบนเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เกิดโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร แฟนบอลของลิเวอร์พูล 96 คนเสียชีวิต เนื่องจากมีคนแออัดเข้ามาชมเกมมากเกินความจุจึงทำให้อัฒจันทร์ยืนได้พังลงมา
ลิเวอร์พูลนั้นใช้เสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นชุดแข่งขันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1896[6] ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 ฉายาในภาษาอังกฤษของลิเวอร์พูลคือ “The Reds” ในภาษาไทยคือ “หงส์แดง” มีเพลงประจำสโมสรคือ “You’ll Never Walk Alone”
ประวัติของสโมสร
จอห์น โฮลดิง นักธุรกิจชาวเมืองลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟีลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้เอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่งขันฟุตบอล และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมฟุตบอลได้เช่าอยู่ใน ฝ่ายกลุ่มผู้บริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนามฟุตบอล และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะสแตนลีย์พาร์ก เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดิสันพาร์ค ดังนั้น จอห์น โฮลดิง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club

รูปปั้น บิลล์ แชงคลี ด้านนอก แอนฟีลด์ โดยแชงคลีพาทีมเลื่อนชั้นและคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้สำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947
หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซีย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลสโบรห์ และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ (ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด
สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2435 และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2444 (ฤดูกาล 1900/01) และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2449 (ฤดูกาล 1905/06) ครั้งที่ 3 และ 4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดใน พ.ศ. 2465 กับ พ.ศ. 2466 (ฤดูกาล 1921/22 กับ 1922/23) แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี พ.ศ. 2490 (ฤดูกาล 1946/47) อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ใน พ.ศ. 2497 (ฤดูกาล 1953/54) ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี พ.ศ. 2502 สโมสรได้แต่งตั้ง บิลล์ แชงก์คลี เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี พ.ศ. 2505 (ฤดูกาล 1961/62) และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2507 (ฤดูกาล 1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี พ.ศ. 2508 (ฤดูกาล 1964/65) และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2509 (ฤดูกาล 1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน พ.ศ. 2516 (ฤดูกาล 1972/73) และเอฟเอคัพ อีกครั้งใน พ.ศ. 2517 (ฤดูกาล 1973/74) หลังจากนั้น บิลล์ แชงก์คลี ขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ บ็อบ เพสส์ลี